Introvert กับ Extravert

หลายปีก่อน ผมมีโอกาสได้ pair programming กับเพื่อนร่วมงานสุดหล่อชื่อเจน

Photo by: Chokchai Phatharamalai

ตอนนั้นเราพยายามทำ เขียนพวก AD authentication ด้วย Ruby ตอนแรก ๆ ก็ลื่นไหลดี ซักพักเราก็ติดกัน ไปต่อไม่ถูก ระหว่างนั้นเจนก็พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ ผมฟังไม่เข้าใจ ผมเลยกลับมาโฟกัสที่อ่านโค้ดเงียบ ๆ ซักพักก็รู้สึกปวดตามาก แล้วก็รู้ตัวว่าเจนที่จับเม้าส์อยู่กำลังกลิ้งเม้าส์ขึ้นลงเล่น ๆ ซึ่งส่งผลให้โค้ดที่ผมอ่านอยู่มันขยับขึ้น ๆ ลง ๆ และการเพ่งอ่านโค้ดดุ๊กดิ๊ก ๆ ทำให้ผมปวดตา

ตอนนั้นด้วยความไม่รู้ว่าเจนทำไปทำไมนะ? ในหัวมีคำถามว่า

จะทำให้คู่ pair เปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ทำไมนะ? เราไม่ได้กำลังร่วมมือกันเพื่อแก้สิ่งนี้เหรอ?!

ตอนนั้นผมโกรธ และน่าจะแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน ภาพที่เห็นคือเห็นเจนหัวเราะพร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษผมไปด้วย แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าเจนขำอะไร -*-

ตอนเย็นเราไปกินข้าวด้วยกัน แล้วบาสได้รู้เรื่อง conflict นี้ที่เกิดขึ้น แล้วบาสก็หัวเราะออกมา แล้วค่อยถามผมว่า รู้จัก introvert กับ extravert ไหม? ผมตอบไปว่าไม่ แค่คุ้น ๆ ว่าเคยได้ยิน

บาสอธิบายว่า introvert คือคนที่แหล่งพลังงานมาจากโลกภายใน ส่วน extravert คือ คนที่แหล่งพลังงานมาจากโลกภายนอก เวลา introvert เหนื่อย มักจะอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว และ เวลา extravert เหนื่อย มักจะอยากไปคุยเล่นกับผู้คนเพื่อเติมพลัง

พฤติกรรมที่บาสใช้สังเกตเบื้องต้นว่าใครเป็น introvert และ extravert คือคนที่เป็น introvert จะคิดเงียบ ๆ ส่วน extravert ต้องพูดไปเรื่อย ๆ หัวถึงจะแล่น

บาสเล่าถึงตรงนี้ ก็ชี้ไปหาเทอรี่แล้วบอกว่า เทอรี่เป็นตัวอย่างที่ชัดมากว่าเป็น extravert บ่อยครั้งที่เทอรี่พูดแล้วบาสฟังไม่รู้เรื่อง แล้วบาสจะตัดครึ่งแรกที่เทอรี่พูดทิ้ง แล้วทวนแต่ครึ่งหลังแล้วจะเข้าใจ เพราะครึ่งแรกนั้นเทอรี่พูดเพื่อจะคิด ไม่ได้อยากให้ใครฟัง แล้วเทอรี่ก็ย้ำด้วยสีหน้าภูมิใจว่า

The latter part is the useful part (ครึ่งหลังคือครึ่งที่มีประโยชน์)

ถึงตรงนี้ผมถึงนึกออกว่าตอนที่เจนยกมือไหว้ไปพลาง ขอโทษไปพลางนั้น เจนพูดด้วยว่า “ผมทำไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว”

การที่ผมนึกออก แปลว่าผมได้ยินตั้งแต่แรกแล้วนะ แต่คำพูดนั้นเพิ่งเข้ามาถึงใจตอนนั้นเอง สำหรับ introvert แบบผม มันยากมากเลยที่จะจินตนาการออกว่าพูดไปคิดไปมันทำยังไงนะ หรือการกลิ้งเม้าส์ขึ้น ๆ ลง ๆ มันจะช่วยให้ผมคิดออกได้ยังไง แต่ผมรับรู้ได้ว่าคนเราแต่ละคนแตกต่างกัน มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน มีวิธีเติมพลังที่ไม่เหมือนกัน วินาทีนั้น ความหมายของคำว่าคนสำหรับผมก็กว้างขึ้นอีกนิด

Fast forward กลับมาวันนี้ เจนเป็นคนที่ผมชอบ co-train ด้วยมาก ๆ ความต่างของเราเป็นประโยชน์มากเวลาที่เราสอนด้วยกัน นับครั้งไม่ถ้วนเลย ที่ผมสังเกตเห็นว่าพลังงานในห้องมันต่ำขณะที่เจนกำลังสอนอยู่ ซึ่งสำหรับคนสอนที่เป็น extravert แล้ว ไม่มีอะไรดูดพลังมากกว่าการส่งพลังไปหาผู้เรียนแล้วไม่มีพลังสะท้อนกลับมาอีกแล้ว จังหวะนั้นผมจะอาสาไป facilitate กิจกรรมให้ หรือแอบแทรกไปเล่นมุขตลกเพื่อดึงพลังขึ้นมา เพราะสำหรับ introvert ที่แหล่งพลังงานมาจากโลกภายในแล้ว การที่คนในห้องพลังงานต่ำไม่มีผลกับผมเลย

ในทางกลับกัน ตอนผมหมดแรง หลังจากอธิบายกิจกรรมเสร็จ แล้วคนในห้องกำลังทำกิจกรรมกัน ผมจะแอบไปนั่งเงียบ ๆ มุมห้องเพื่อชาร์จพลัง บ่อยครั้งภาพที่ผมเห็นคือ เจนจะเข้าไปเจ๊าะแจ๊ะกับผู้คนเผื่อว่าเค้าต้องการความช่วยเหลือ เพื่อรักษาระดับพลังงานในห้องให้ยังสูงอยู่ และถือเป็นโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับผู้เรียนไปในตัว

ผมศรัทธาเรื่อง growth mindset

ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้แสดงจุดยืนก่อนว่า ผมเชื่อเรื่อง growth mindset หมายความว่า introvert ไม่จำเป็นต้องพูดบนเวทีไม่เก่ง และ extravert ไม่ได้แปลว่าจะนั่งสมาธิไม่ได้ สำหรับผม introvert หรือ extravert เป็น default mode ที่เรามักจะเผลอทำตอนเหนื่อย ๆ แต่การพูดหน้าเวที เข้าหาผู้คน นั่งสมาธิล้วนเป็นทักษะซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้มาจากการฝึกฝน จริงอยู่ว่า default mode อาจจะทำให้เราเลือกใช้บางทักษะบ่อยกว่าอย่างอื่น แต่ผมเชื่อว่าเราเลือกฝึกได้

หลักฐานก็คือ ผมเคยได้ยินหลายครั้งที่มีคนทายว่าผมเป็น extravert เพราะเค้าเคยเห็นผมแค่ตอนอยู่บนเวที สำหรับผม ไม่มีอะไรจะยืนยัน growth mindset ได้ทรงพลังเท่านี้อีกแล้ว ถ้าถามภรรยาผม เธอจะตอบได้ชัดมากเลยว่าผมเป็น introvert เบอร์ไหน :)

ผมเชื่อเรื่อง Anchoring ด้วย

ผมได้รู้จักคำว่า anchoring ตอนไปเรียน NLP ตัวอย่างยอดนิยมของ anchoring คือการที่ Pavlov สั่นกระดิ่งก่อนให้อาหารสุนัขไปสักระยะ หลัง ๆ แค่สั่นกระดิ่งสุนัขก็น้ำลายไหลแม้ว่าจะไม่มีอาหารก็ตาม

ผมเคยเห็นพวกนิสัยตามกรุ๊ปเลือด หรือ โชคชะตาราศี สำหรับผม ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็น anchoring ความเชื่อเรื่อง introvert กับ extravert ก็เช่นกัน

ผมเชื่อว่ามันจริง ถ้าคุณมีศรัทธาให้กับมัน

ถ้าผมเชื่อมั่นมาก ๆ ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง สิ่งนี้จะกลายเป็นความจริงสำหรับผม เพราะหูตาผมจะเริ่ม filter ของที่ขัดแย้งออกไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว บางครั้งก็มีคนถามผมว่า “งั้นผมก็กำลังหลอกตัวเองน่ะสิ” ผมตอบว่าผมไม่รู้หรอก เพราะ เราทุกคนไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในความจริง เราใช้ชีวิตในประสบการณ์ของเรา ถ้ามีคนชมผมว่าหล่อ แต่ผมดันฟังผิดว่าเค้าด่าว่าโง่ ความเจ็บใจที่เกิดขึ้นมันโคตรจริงเลยสำหรับผม แม้ว่ามันจะอยู่แค่ในประสบการณ์ของผมก็ตาม

นอกจากนี้ ผมยังเลือกที่จะเชื่อกฎแรงดึงดูดที่ว่า ความคิดเป็นคลื่นพลังงาน ยิ่งความคิดรุนแรงจนกลายเป็นศรัทธา ยิ่งมีพลัง เพราะความคิดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และ ภายใต้ทุกอะตอม ก็เป็นแค่สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นกัน

นี่เป็นฉากจากหนังที่สร้างอิงตามผลการทดลองจริงของศาสตราจารย์ Emoto ฉากหน่ะไม่จริง แต่รูปที่ใช้ในฉากและสิ่งที่เค้าอธิบายเป็นผลการทดลองจริง

นี่คือเหตุผลที่เวลาลูกผมถามผมว่า ผีมีจริงไหม? ผมตอบว่า

จริง ถ้าลูกเชื่อว่ามันมีจริง แล้วลูกหล่ะ เชื่อว่ามันมีจริงไหม?

กลับมาที่ introvert กับ extravert ผมเชื่อว่าคนเรามี default และผมเชื่อว่า default ก็เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราเชื่อว่ามันเปลี่ยนได้ และมันจะเปลี่ยนไม่ได้เช่นกันถ้าเราทำใจเชื่อไม่ได้

ยาวมากเหมือนเขียน 3 blogs ติดเลย แต่ผมยอมให้มันอยู่แยกกันไม่ได้ ผมคิดว่าถ้าจิ๊กซอว์มันไม่ครบ สิ่งที่ผมแบ่งปันมันอาจจะเป็นโทษได้ ถ้าคุณสละเวลาอ่านจนถึงตรงนี้ผมซาบซึ้งมาก ผมหวังหมดใจเลยว่ามันจะเป็นประโยชน์ ขอบคุณครับ!

Reference

ถ้าอยากอ่านเรื่อง NLP achoring ต่อ ลองอ่านที่นี่ได้นะ Anchoring by Robert Dilts

Credits

Thank you Bas for explaining the difference between introvert and extravert. I’m impressed how your explanation simply resolves the conflict I had. I interpreted that shifting attention at the right moment can make conflicts disappear.

Thank you Terry for sharing an insight in extravert behavior. You have expanded my mental model again. Last time it was “kitchen knife” and now it is “extravert”.

ขอบคุณเจนที่ pair ด้วยกันวันนั้น ขอบคุณที่อดทนกับความใจแคบของผมตอนสับสน และขอบคุณที่ทำให้ความหมายของคำว่า “ผู้คน” กว้างขึ้นเยอะเลยสำหรับผม ผมคิดว่าการจะเป็นโค้ชที่ดีได้นั้น จะต้องมี mental model ของคำว่าผู้คนกว้าง ๆ ขอบคุณจริง ๆ

Read more

จักระกับระบบประสาท

จักระกับระบบประสาท

ครูณาส่งหนังสือที่ครูแปล ชื่อ Becoming super natural มาให้ ผมได้ข้อมูลที่ตื่นตาตื่นใจหลายอย่าง หลายอย่างผมก็ยังต้องใช้เวลาค่อย ๆ ทำความเข้าใจไป แต่วันนี้อยากเอาเรื่อง จักระ ทั้ง 8 จุดมาแบ่งปัน จากในหนังสือ ผมได้ลองนั

By Chokchai
Scrum master focus

Scrum master focus

ครั้งแรกที่ผมได้เรียนว่า สกรัมมาสเตอร์ควรแบ่งโฟกัสการโค้ชของตัวเองเป็น 4 เรื่องคือ 1. องค์กร 2. engineering practice 3. product owner 4. ทีม ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนบ้าอะไรจะไปเก่งทั้ง 4 อย่างซึ่งมันใช้ความรู้และทักษะที่แตกต่างกันเหลือเกิ

By Chokchai